วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ความหมายของ World Wide Wed
เวิลด์ไวด์เว็บ นิยมเรียกสั้นๆ ว่าเว็บ หรือ WWW ถือเป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุดบนอินเทอร์เน็ตเพราะสามารถแสดงสารสนเทศต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น นิตยสารหรือหนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ข้อมูลด้านดนตรี กีฬา การศึกษา ซึ่งสามารถนำเสนอได้ทั้งภาพ เสียงรวถึงภาพเคลื่อนไหว เช่นแฟ้มภาพวีดีทัศน์หรือตัวอย่างภาพยนตร์ และการสืบค้นสารสนเทศในเวิลด์ไวด์เว็บนั้นจำเป็นต้องอาศัยโปรแกรมค้นดูเว็บ (web browser) ในการเข้าถึงแหล่งข้อมูล โดยที่เว็บกับโปรแกรมค้นผ่านจะทำหน้าที่รวบรวมและกระจายเอกสารที่เครือข่ายที่ทำไว้
คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ World Wide Web
Web Page ประกอบไปด้วย ตัวอักษร กราฟิก เสียง ภาพเคลื่อนไหว และข้อมูลในรูปแบบอื่นๆ และที่สำคัญก็คือในแต่ละ Web Page สามารถทำเป็นสื่อ Multimedia ที่โต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ โดยมีจุดเริ่มต้นหรือหน้าแรกของ Web page ทั้งหมดที่จะแสดง เราจะเรียกว่า Home Page Web Page ทั้งหลายสามารถเชื่อมต่อกันโดยใช้ Hypertext ซึ่งจะช่วยให้เราย้ายจาก Web Page หนึ่งไปยัง Web Page อื่นๆ ตามที่ต้องการได้ หรือจะไปยังไฟล์กราฟิก ไฟล์ไบนารี ไฟล์มัลติมีเดีย และบริการอื่นๆ ในอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว โดยจะใช้วิธีการคลิกไปที่ลิงค์ (link) แบบ Hypertext เท่านั้น WWW ทำงานในรูปแบบ Client/Server โดยจะต้องรันโปรแกรมที่เป็น Web Client ที่เรียกว่า Web Browser
WebSite จะเป็นแหล่งที่บรรจุเอกสารข้อมูลไว้ ซึ่งผู้สร้างเอกสารจะจัดเก็บเอกสารของตนเองไว้ในอินเทอร์เน็ต หรือเป็นที่บรรจุเอกสารบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
Web Server มีไว้สำหรับเรียกดูข้อมูลหรือบริการต่างๆ จากนั้น Web Server จะเป็นตัวค้นหาและส่งข้อมูลกลับไปยัง Web Browser อีกทีหนึ่ง
Web Browser จะเป็นตัวแสดงผลจาก World Wide Web ที่สามารถสืบค้นได้จากเครือข่าย Internet โดยการใช้เทคนิคของ hypermedia (Hypertext และ Multi – Media) เพื่อช่วยให้ระบบ WWW ง่ายต่อการใช้งานสำหรับ Users ที่จะค้นหาความรู้หรือสารสนเทศจากศูนย์ที่ให้บริการ ระบบ WWW ถูกพัฒนาขึ้นโดย CERN ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยใน Switzerland โดยใช้การจัดรูปแบบของข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน HTML (Hypertext Markup Language) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้เชื่อมข้อมูลที่อยู่ใน format ที่แตกต่างกันให้อยู่ในรูปเอกสารที่ใช้ในระบบ WWW ในปัจจุบันระบบการสื่อค้นสารสนเทศของระบบนี้เป็นการบริการในเครือข่าย Internet ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะโปรแกรมที่ใช้สืบค้นข้อมูลหรือที่เรียกว่า WWW Browser จากระบบที่ให้บริการสารสนเทศแบบ WWW นั้นใช้งานและสมบูรณ์โดยเฉพาะโปรแกรมที่เป็น Graphic User Interface (GUI) ซึ่งผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ หรือจำคำสั่งต่างๆ มากมาย ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยใช้โปรแกรม GUI
WebSite จะเป็นแหล่งที่บรรจุเอกสารข้อมูลไว้ ซึ่งผู้สร้างเอกสารจะจัดเก็บเอกสารของตนเองไว้ในอินเทอร์เน็ต หรือเป็นที่บรรจุเอกสารบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
Web Server มีไว้สำหรับเรียกดูข้อมูลหรือบริการต่างๆ จากนั้น Web Server จะเป็นตัวค้นหาและส่งข้อมูลกลับไปยัง Web Browser อีกทีหนึ่ง
Web Browser จะเป็นตัวแสดงผลจาก World Wide Web ที่สามารถสืบค้นได้จากเครือข่าย Internet โดยการใช้เทคนิคของ hypermedia (Hypertext และ Multi – Media) เพื่อช่วยให้ระบบ WWW ง่ายต่อการใช้งานสำหรับ Users ที่จะค้นหาความรู้หรือสารสนเทศจากศูนย์ที่ให้บริการ ระบบ WWW ถูกพัฒนาขึ้นโดย CERN ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยใน Switzerland โดยใช้การจัดรูปแบบของข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน HTML (Hypertext Markup Language) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้เชื่อมข้อมูลที่อยู่ใน format ที่แตกต่างกันให้อยู่ในรูปเอกสารที่ใช้ในระบบ WWW ในปัจจุบันระบบการสื่อค้นสารสนเทศของระบบนี้เป็นการบริการในเครือข่าย Internet ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะโปรแกรมที่ใช้สืบค้นข้อมูลหรือที่เรียกว่า WWW Browser จากระบบที่ให้บริการสารสนเทศแบบ WWW นั้นใช้งานและสมบูรณ์โดยเฉพาะโปรแกรมที่เป็น Graphic User Interface (GUI) ซึ่งผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ หรือจำคำสั่งต่างๆ มากมาย ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยใช้โปรแกรม GUI
ความหมายและลักษณะของ URL
URL เป็นตัว Link เพื่อเชื่อมโยง Web Page เข้าด้วยกันนั้นจะต้องใช้ URL (Uniform Resource Locator) เป็นเลขทะเบียนอ้างอิงตำแหน่ง (Address) โดยในแต่ละ Web Page จะต้องมี URL เพื่อใช้อ้างอิงตำแหน่งที่เป็นของตนเองซึ่งตำแหน่งของ URL Address นั้นจะไม่เหมือนกัน
ตัวอย่างและความหมายของ URL
http://www.chaiyo.com/path/index.html
“http” : เป็นส่วนที่ใช้ระบุประเภท Protocol ซึ่งในที่นี้กำหนด Protocol คือ HTTP และนอกจาก protocol http สำหรับ www แล้วยังมี ftp,gophers,wais,telnet,news เป็นต้น
www.chaiyo.com : ส่วนนี้เป็นตัวเลข 4 ชุดที่ใช้ระบุตำแหน่งของ Internet Sever และเรียกชุดของตัวเลขนี้ว่า IP Address เช่น 163.12.135.7 แต่ทั้งนี้ในการเขียน URL ปกติจะไม่เขียนเลขชุดเหล่านี้เนื่องจากจำยากจึงมีการนำเอาข้อความมาแทน เช่น www.Chaiyo.com แต่ในการใช้งานจริงคุณสามารถใช้งานได้ทั้ง IP Address ที่เป็นตัวเลขหรือใช้ข้อความแทน
path : เป็นการกำหนดเส้นทางของสิ่งที่คุณต้องการ หรือเส้นทางที่อยู่ ของ Web Page ใน Internet Server
index.html : เป็นส่วนของสิ่งที่เราต้องการ เช่นถ้าเราต้องการเข้าหน้าแรกของ Home page จะระบุเป็น index.html ทั้งนี้ใน web ส่วนใหญ่จะใช้ index.html เป็นหน้าแรกและทำให้ในบางครั้งไม่จำเป็นต้องใส่คำ ว่า index.html ลงใน URL เกี่ยวกับ domain name ที่ใช้เป็น ข้อความนั้นได้มีการวางแบบแผนของข้อความ คือจะมี ชื่อ site, องค์กร, ประเทศ เช่น Chiyo.com.th จะเป็นการบอกว่า Home Page นี้ชื่อ “Chaiyo” เป็นองค์กรประเภท com (commmmercial – การค้า) และเป็นของประเทศ th ( Thailand)
ตัวอย่างและความหมายของ URL
http://www.chaiyo.com/path/index.html
“http” : เป็นส่วนที่ใช้ระบุประเภท Protocol ซึ่งในที่นี้กำหนด Protocol คือ HTTP และนอกจาก protocol http สำหรับ www แล้วยังมี ftp,gophers,wais,telnet,news เป็นต้น
www.chaiyo.com : ส่วนนี้เป็นตัวเลข 4 ชุดที่ใช้ระบุตำแหน่งของ Internet Sever และเรียกชุดของตัวเลขนี้ว่า IP Address เช่น 163.12.135.7 แต่ทั้งนี้ในการเขียน URL ปกติจะไม่เขียนเลขชุดเหล่านี้เนื่องจากจำยากจึงมีการนำเอาข้อความมาแทน เช่น www.Chaiyo.com แต่ในการใช้งานจริงคุณสามารถใช้งานได้ทั้ง IP Address ที่เป็นตัวเลขหรือใช้ข้อความแทน
path : เป็นการกำหนดเส้นทางของสิ่งที่คุณต้องการ หรือเส้นทางที่อยู่ ของ Web Page ใน Internet Server
index.html : เป็นส่วนของสิ่งที่เราต้องการ เช่นถ้าเราต้องการเข้าหน้าแรกของ Home page จะระบุเป็น index.html ทั้งนี้ใน web ส่วนใหญ่จะใช้ index.html เป็นหน้าแรกและทำให้ในบางครั้งไม่จำเป็นต้องใส่คำ ว่า index.html ลงใน URL เกี่ยวกับ domain name ที่ใช้เป็น ข้อความนั้นได้มีการวางแบบแผนของข้อความ คือจะมี ชื่อ site, องค์กร, ประเทศ เช่น Chiyo.com.th จะเป็นการบอกว่า Home Page นี้ชื่อ “Chaiyo” เป็นองค์กรประเภท com (commmmercial – การค้า) และเป็นของประเทศ th ( Thailand)
ความหมายและประเภทของ Domain name
โดเมนเนม ( Domain Name) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโลกของอินเทอร์เน็ตดังนั้น เพื่อให้เข้าใจเจ้าโดเมนเนมที่แท้จริง เราจะต้องรู้เรื่องพื้นฐานและคำศัพท์เบื้องต้นในโลกของอินเทอร์เน็ตอย่างก่อนเริ่มตั้งแต่คำว่า WWW หรือ World Wide Web หรือ Web หรือ W3 ซึ่งเปรียบได้กับห้องสมุดที่ให้ใครๆเข้ามาสึกษาค้นหาข้อมูลหรือมีข้อมูลสำหรับนำข้อมูลที่มีประโยชน์มาวางแล้วให้ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาค้นคว้าจากห้องสมุด WWW ซึ่งจะแตกต่างจากห้องสมุดทั่วๆ ไปตรงที่เป็นการใช้งานผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นประมาณ Electronic Library หรือ e-library นั่นเอง และที่สำคัญคือ ทั้งโลกมีอยู่ห้องเดียว ดังนั้นถ้าคุณเข้ามาหาอะไรแล้วไม่เจอ ก็ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปหาที่ห้องสมุดอื่นๆ ให้อีกหาอยู่ที่ e-library ที่เดียวมีทุกอย่างที่ต้องการ
ฉะนั้น โดเมนเนม เป็นชื่อที่ขอจดทะเบียนไว้เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการเรียกใช้งานอินเทอร์เน็ต ไม่ได้เป็นชื่อหรือตำแหน่งของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
ส่วนประกอบของโดเมนเนม โดเมนเนมจะประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆ ดังนี้
ส่วนที่ 1 สับโดเมน ( Sub Domain Name)
ส่วนที่ 2 Second – Level Domain Name
ส่วนที่ 3 Top – Level Domain
ส่วนที่ 1 สับโดเมน ( Sub Domain Name)
สับโดเมนเนม เป็น “ คำ” ที่อยู่ก่อนชื่อโดเมนเนม เป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถกำหนดว่าจะให้ URL นี้เชื่อมโยงไปยังส่วนไหนในเว็บไซต์ ซึ่งปกติแล้วมักใช้เป็น WWW ตัวสับโดเมนนี่เป็นของฟรี ไม่มีสับโดเมนอยู่ในตาต้าเบส (Database) ของโลก ไม่ว่าจะใน Network Solution หรือ Thnic ให้ระวังคนหัวใสไปหลอกขาย โดยบอกว่าจะให้ชื่อ yourcompany. « « « .com อย่างที่เคยเห็นอยู่บ่อยๆ เราอาจจะได้เห็นการสับบ่อยของโดเมนเนมในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือ www. « « « .com /yourcompany ซึ่งทั้งสองแบบนี้ คือจะไว้ข้างหน้าหรือข้างหลังก็จะได้ความหมายเหมือนกัน คือเป็นสับโดเมนย่อยอยู่ภายใต้โดเมนเนม « « « .com ตรงนี้
ในการสร้างสับย่อยๆ ในสับโดเมนเพิ่มขึ้นนั้น ปกติจะไม่ค่อยเสียค่าใช้จ่าย แต่บางครั้งก็อาจจะต้องมีการตั้งค่าหรือเซตอัพบางอย่างที่ยุ่งยากบ้าง ทางบริษัทที่รับทำอาจคิดค่าใช้จ่ายเป็นค้าเซตอัพแทน แต่ก็ไม่แพงมาก อย่างเช่น ถ้าเสียค่าจดโดเมนเนม 1,500 บาท ค่าเซตอัพก็จะประมาณไม่เกิน 1,000 บาท บางบริษัทอาจจะทำให้ฟรี
ส่วนที่ 2 Second – Level Domain Name
ในส่วนนี้จะเป็นการตั้งชื่อเป็นอะไรก็ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของเว็บไซต์หรือผู้จดทะเบียน แต่มีข้อจำกัดอยู่ว่าชื่อตรงนี้ต้องไม่ซ้ำกันกับคนอื่นๆ เพราะจะทำให้เครื่องสับสนว่าจะเข้าในเว็บไซต์ไหนแน่ การตั้งชื่อตรงนี้มีความสำคัญมากกับการที่จะทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักโด่งดังไปทั่วโลกเพราะจะเป็นสิ่งแรกที่ลูกค้าจะรู้จัก หรือรู้จักสินค้าและบริการของเว็บไซต์คุณ ลองเปรียบเทียบดูว่าถ้าเราต้องการไปเดินซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า ถ้าเราไปซื้อตามร้านหนังสือจากความเคยชินเราก็จะเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าเป็นร้าน ดอกหญ้า หรือร้านนายอินทร์ เพราะเรามาเดินบ่อย แต่ถ้าเป็นในโลกของอินเทอร์เน็ต เราจะเดินไปได้เราต้องรู้จัก URL หรือชื่อเว็บไซต์ที่เราต้องการเข้าไปดู ดังนั้นซึ่งเราจะมองไม่เห็นชื่อร้านว่าเป็นร้านดอกหญ้า ซึ่งร้านหนังสือที่ประสบผลสำเร็จในการจำหน่ายหนังสือผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้แก่ Amazon.com เว็บไซต์ Amazon.com นี่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2538 และเป็นร้านหนังสือรายแรกบนอินเทอร์เน็ต และปัจจุบันมียอดขายสูงสุดถึงปีละหมื่นล้านเหรียญสหรัฐทีเดียว
เว็บไซด์ที่ประสบความสำเร็จในโลกอินเทอร์เน็ตจะต้องมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่จะทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกได้นั้น เราจะปฏิเสธไม่ได้ว่า “ ชื่อ” ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะทำให้ผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถจดจำได้ดี หลักการตั้งชื่อที่มีดังนี้
1. ง่ายต่อการจดจำ คือ ต้องเป็นชื่อที่จำง่าย นึกถึงอยู่เสมอ เหมือนกับเวลาจะคุณต้องการทานสุกี้ก็ต้องนึกถึง “MK” เป็นต้น คือพยายามมองโลกให้เหมือนกับคนอื่นๆ ให้มากๆ เข้าไว้ เพราะถ้าเราไปคำนึงถึงคำยากๆ ไม่ค่อยมีใครนึกถึงจะทำให้คนเข้าไปถึงเว็บไซต์ของเราได้น้อย
2. สั้นและกะทัดรัดชัดเจน คือ ชื่อเว็บไซต์ที่สั้นถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการตั้งชื่อบนอินเทอร์เน็ตก็ได้ ถามยังสำคัญกว่า การตั้งชื่อบนอินเทอร์เน็ตเสียด้วย เพราะถ้าคุณต้องพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ลงไปในคอมพิวเตอร์ ก็เหตุผลที่ว่าทำไมชื่อเว็บควรสั้นๆ และกระชับ ลองมาดูตัวอย่างชื่อเว็บไซต์อย่างเช่น www.ebusinessisbusiness.com อ่านๆ ดูแล้วจำไม่ง่ายเลย ใช้เวลาพิมพ์ในการพิมพ์นานมากมีโอกาสผิด ถ้าสั้นและกระชับแล้ว ชื่อที่ตั้งก็ควรได้ใจความด้วย อย่างเว็บไซต์ เช่น www.mycom.com ก็สั้น กระชับ เพราะจะทำให้คนที่เข้ามาใช้งานสามารถที่จะจดจำชื่อของเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว
3. สะกดง่ายไม่ซับซ้อน ควรเลือกคำที่ทำให้เกิดการผิดพลาดในการพิมพ์น้อยที่สุด ประเภทที่ต้องมี S หรือไม่มี S หรือมี – หรือ /วุ่นวาย เพราะถ้าไม่ใช่เว็บไซต์ของตัวเอง ไม่ค่อยมีใครมานั่งจำหรอกว่าต้องตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก มีขีดบน ขีดกลางหรือขีดล่าง เขามักจะพิมพ์ชื่อที่นึกขึ้นมาให้ก่อน ถ้าหาไม่เจอก็มักเปลี่ยนไปที่อื่นแทน ไม่สนใจ
4. มีความหมายเข้าใจชัดเจน หมายความว่า คำที่จะนำมาใช้เป็นชื่อต้องสื่อถึงเว็บของเราไว้ว่าจุดมุ่งหมายหลักคืออะไร เช่น เป็นเว็บไซต์สำหรับจำหน่ายสินค้า ก็ควรจะมีคำที่เกี่ยวข้องกับจำหน่ายสินค้า หรือทำเว็บไซต์ เกี่ยวกับหนังสือหรือใกล้เคียงกันอยู่บ้างเพราะเวลาค้นหา จะได้ค้นหาได้ง่ายๆ
5. ชื่อสะดุดตาง่ายต่อการจดจำ ที่คนรู้จักกันทั่วโลกว่าเช่น www.amazon.com ซึ่งเป็นร้านขายหนังสือบนอินเทอร์เน็ต หรือ www.google.com เป็นผู้นำในส่วนเว็บไซต์ค้นหาทั้งหมดในโลกและอื่นๆ คุณเห็นอะไรในชื่อเหล่านี้ มันไม่ได้สื่อความหมายอะไรมากมาย แต่เป็นชื่อที่จำง่ายและสะดุดตาคน อ่านหรือได้ยินหรือให้คนอ่านเข้าใจง่าย นี้ก็มักจะทำให้ชื่อเว็บของเราอยู่ในใจของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น
ส่วนที่ 3 Top – Level Domain
Top Domain จะมีอยู่ 2 ประเภท อย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ คือ อย่างที่เป็น .co.th กับ แบบที่เป็น .com ซึ่งความจริงไม่ได้จำกัดอยู่แค่นี้ สามารถเป็นแบบอื่นๆ ได้อีก สำหรับตัวอย่างแรกที่เป็น .co.th จะเป็นหลักษณะของการบอกประเภทของเว็บไซต์ของเรา และบอกรหัสประเทศ หรือ Country Code อีก 2 ตัวอักษรซึ่งมีได้หลายแบบ เช่น
. co ย่อมาจาก Commercial เป็นบริษัทหรือองค์กรที่ทำการค้าหวังกำไร
. ac ย่อมาจาก Acdemy เป็นสถาบันการศึกษาต่างๆ
.or ย่อมาจาก Organization เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมาโดยไม่หวังผลกำไร
.go ย่อมาจาก Government เป็นหน่วยงานของรัฐบาล
รหัสประเทศ หรือ Country Code ของประเทศต่างๆ ซึ่งยกตัวอย่างมาบางส่วน ดังนี้
.ac ย่อมาจาก Ascension Island
.ad ย่อมาจาก Andora
.ae ย่อมาจาก United Arab Emirates
.af ย่อมาจาก Afghanistan
.ag ย่อมาจาก Antigua and Barbuda
.ai ย่อมาจาก Anguilla
.al ย่อมาจาก Albania
.am ย่อมาจาก Netherlands Antilles
.ao ย่อมาจาก Angola
ฉะนั้น โดเมนเนม เป็นชื่อที่ขอจดทะเบียนไว้เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการเรียกใช้งานอินเทอร์เน็ต ไม่ได้เป็นชื่อหรือตำแหน่งของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
ส่วนประกอบของโดเมนเนม โดเมนเนมจะประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆ ดังนี้
ส่วนที่ 1 สับโดเมน ( Sub Domain Name)
ส่วนที่ 2 Second – Level Domain Name
ส่วนที่ 3 Top – Level Domain
ส่วนที่ 1 สับโดเมน ( Sub Domain Name)
สับโดเมนเนม เป็น “ คำ” ที่อยู่ก่อนชื่อโดเมนเนม เป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถกำหนดว่าจะให้ URL นี้เชื่อมโยงไปยังส่วนไหนในเว็บไซต์ ซึ่งปกติแล้วมักใช้เป็น WWW ตัวสับโดเมนนี่เป็นของฟรี ไม่มีสับโดเมนอยู่ในตาต้าเบส (Database) ของโลก ไม่ว่าจะใน Network Solution หรือ Thnic ให้ระวังคนหัวใสไปหลอกขาย โดยบอกว่าจะให้ชื่อ yourcompany. « « « .com อย่างที่เคยเห็นอยู่บ่อยๆ เราอาจจะได้เห็นการสับบ่อยของโดเมนเนมในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือ www. « « « .com /yourcompany ซึ่งทั้งสองแบบนี้ คือจะไว้ข้างหน้าหรือข้างหลังก็จะได้ความหมายเหมือนกัน คือเป็นสับโดเมนย่อยอยู่ภายใต้โดเมนเนม « « « .com ตรงนี้
ในการสร้างสับย่อยๆ ในสับโดเมนเพิ่มขึ้นนั้น ปกติจะไม่ค่อยเสียค่าใช้จ่าย แต่บางครั้งก็อาจจะต้องมีการตั้งค่าหรือเซตอัพบางอย่างที่ยุ่งยากบ้าง ทางบริษัทที่รับทำอาจคิดค่าใช้จ่ายเป็นค้าเซตอัพแทน แต่ก็ไม่แพงมาก อย่างเช่น ถ้าเสียค่าจดโดเมนเนม 1,500 บาท ค่าเซตอัพก็จะประมาณไม่เกิน 1,000 บาท บางบริษัทอาจจะทำให้ฟรี
ส่วนที่ 2 Second – Level Domain Name
ในส่วนนี้จะเป็นการตั้งชื่อเป็นอะไรก็ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของเว็บไซต์หรือผู้จดทะเบียน แต่มีข้อจำกัดอยู่ว่าชื่อตรงนี้ต้องไม่ซ้ำกันกับคนอื่นๆ เพราะจะทำให้เครื่องสับสนว่าจะเข้าในเว็บไซต์ไหนแน่ การตั้งชื่อตรงนี้มีความสำคัญมากกับการที่จะทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักโด่งดังไปทั่วโลกเพราะจะเป็นสิ่งแรกที่ลูกค้าจะรู้จัก หรือรู้จักสินค้าและบริการของเว็บไซต์คุณ ลองเปรียบเทียบดูว่าถ้าเราต้องการไปเดินซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า ถ้าเราไปซื้อตามร้านหนังสือจากความเคยชินเราก็จะเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าเป็นร้าน ดอกหญ้า หรือร้านนายอินทร์ เพราะเรามาเดินบ่อย แต่ถ้าเป็นในโลกของอินเทอร์เน็ต เราจะเดินไปได้เราต้องรู้จัก URL หรือชื่อเว็บไซต์ที่เราต้องการเข้าไปดู ดังนั้นซึ่งเราจะมองไม่เห็นชื่อร้านว่าเป็นร้านดอกหญ้า ซึ่งร้านหนังสือที่ประสบผลสำเร็จในการจำหน่ายหนังสือผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้แก่ Amazon.com เว็บไซต์ Amazon.com นี่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2538 และเป็นร้านหนังสือรายแรกบนอินเทอร์เน็ต และปัจจุบันมียอดขายสูงสุดถึงปีละหมื่นล้านเหรียญสหรัฐทีเดียว
เว็บไซด์ที่ประสบความสำเร็จในโลกอินเทอร์เน็ตจะต้องมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่จะทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกได้นั้น เราจะปฏิเสธไม่ได้ว่า “ ชื่อ” ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะทำให้ผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถจดจำได้ดี หลักการตั้งชื่อที่มีดังนี้
1. ง่ายต่อการจดจำ คือ ต้องเป็นชื่อที่จำง่าย นึกถึงอยู่เสมอ เหมือนกับเวลาจะคุณต้องการทานสุกี้ก็ต้องนึกถึง “MK” เป็นต้น คือพยายามมองโลกให้เหมือนกับคนอื่นๆ ให้มากๆ เข้าไว้ เพราะถ้าเราไปคำนึงถึงคำยากๆ ไม่ค่อยมีใครนึกถึงจะทำให้คนเข้าไปถึงเว็บไซต์ของเราได้น้อย
2. สั้นและกะทัดรัดชัดเจน คือ ชื่อเว็บไซต์ที่สั้นถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการตั้งชื่อบนอินเทอร์เน็ตก็ได้ ถามยังสำคัญกว่า การตั้งชื่อบนอินเทอร์เน็ตเสียด้วย เพราะถ้าคุณต้องพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ลงไปในคอมพิวเตอร์ ก็เหตุผลที่ว่าทำไมชื่อเว็บควรสั้นๆ และกระชับ ลองมาดูตัวอย่างชื่อเว็บไซต์อย่างเช่น www.ebusinessisbusiness.com อ่านๆ ดูแล้วจำไม่ง่ายเลย ใช้เวลาพิมพ์ในการพิมพ์นานมากมีโอกาสผิด ถ้าสั้นและกระชับแล้ว ชื่อที่ตั้งก็ควรได้ใจความด้วย อย่างเว็บไซต์ เช่น www.mycom.com ก็สั้น กระชับ เพราะจะทำให้คนที่เข้ามาใช้งานสามารถที่จะจดจำชื่อของเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว
3. สะกดง่ายไม่ซับซ้อน ควรเลือกคำที่ทำให้เกิดการผิดพลาดในการพิมพ์น้อยที่สุด ประเภทที่ต้องมี S หรือไม่มี S หรือมี – หรือ /วุ่นวาย เพราะถ้าไม่ใช่เว็บไซต์ของตัวเอง ไม่ค่อยมีใครมานั่งจำหรอกว่าต้องตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก มีขีดบน ขีดกลางหรือขีดล่าง เขามักจะพิมพ์ชื่อที่นึกขึ้นมาให้ก่อน ถ้าหาไม่เจอก็มักเปลี่ยนไปที่อื่นแทน ไม่สนใจ
4. มีความหมายเข้าใจชัดเจน หมายความว่า คำที่จะนำมาใช้เป็นชื่อต้องสื่อถึงเว็บของเราไว้ว่าจุดมุ่งหมายหลักคืออะไร เช่น เป็นเว็บไซต์สำหรับจำหน่ายสินค้า ก็ควรจะมีคำที่เกี่ยวข้องกับจำหน่ายสินค้า หรือทำเว็บไซต์ เกี่ยวกับหนังสือหรือใกล้เคียงกันอยู่บ้างเพราะเวลาค้นหา จะได้ค้นหาได้ง่ายๆ
5. ชื่อสะดุดตาง่ายต่อการจดจำ ที่คนรู้จักกันทั่วโลกว่าเช่น www.amazon.com ซึ่งเป็นร้านขายหนังสือบนอินเทอร์เน็ต หรือ www.google.com เป็นผู้นำในส่วนเว็บไซต์ค้นหาทั้งหมดในโลกและอื่นๆ คุณเห็นอะไรในชื่อเหล่านี้ มันไม่ได้สื่อความหมายอะไรมากมาย แต่เป็นชื่อที่จำง่ายและสะดุดตาคน อ่านหรือได้ยินหรือให้คนอ่านเข้าใจง่าย นี้ก็มักจะทำให้ชื่อเว็บของเราอยู่ในใจของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น
ส่วนที่ 3 Top – Level Domain
Top Domain จะมีอยู่ 2 ประเภท อย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ คือ อย่างที่เป็น .co.th กับ แบบที่เป็น .com ซึ่งความจริงไม่ได้จำกัดอยู่แค่นี้ สามารถเป็นแบบอื่นๆ ได้อีก สำหรับตัวอย่างแรกที่เป็น .co.th จะเป็นหลักษณะของการบอกประเภทของเว็บไซต์ของเรา และบอกรหัสประเทศ หรือ Country Code อีก 2 ตัวอักษรซึ่งมีได้หลายแบบ เช่น
. co ย่อมาจาก Commercial เป็นบริษัทหรือองค์กรที่ทำการค้าหวังกำไร
. ac ย่อมาจาก Acdemy เป็นสถาบันการศึกษาต่างๆ
.or ย่อมาจาก Organization เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมาโดยไม่หวังผลกำไร
.go ย่อมาจาก Government เป็นหน่วยงานของรัฐบาล
รหัสประเทศ หรือ Country Code ของประเทศต่างๆ ซึ่งยกตัวอย่างมาบางส่วน ดังนี้
.ac ย่อมาจาก Ascension Island
.ad ย่อมาจาก Andora
.ae ย่อมาจาก United Arab Emirates
.af ย่อมาจาก Afghanistan
.ag ย่อมาจาก Antigua and Barbuda
.ai ย่อมาจาก Anguilla
.al ย่อมาจาก Albania
.am ย่อมาจาก Netherlands Antilles
.ao ย่อมาจาก Angola
ความเป็นมาของโดเมนเนม ( Domain name)
อินเทอร์เน็ต (Internat ) เริ่มต้นมาจากโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการศึกษาและระบบเครือข่ายที่รู้จักกันดีในนามของโครงการ “ARPANET” ซึ่งระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้งานตรงนี้ก็คือ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocol) โดยใช้ระบบปฏิบัติการ IUNIX ซึ่งช่วยให้การเชื่อมโยงสื่อสารผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก
ในระยะแรก การใช้งานในอินเทอร์เน็ตไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรนัก เพราะเครื่องที่อยู่ในเครือข่ายมีไม่มาก แต่ต่อมาเมื่อมีคนสนใจและมีเครือข่ายการใช้งานที่กว้างมากขึ้น ก็เลยทำให้เกิดความต้องการในการใช้ชื่อที่ง่ายและไม่ซับซ้อน จำง่าย แทนที่จะใช้ในลักษณะของ IP Address ซึ่งเป็นชุดตัวเลขที่ใช้อยู่ซึ่งทำให้เกิดการศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องของ “Name Server” ขึ้นมาครั้งแรก ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องรู้จัก และนี่ก็คือต้นกำเนิดของการใช้โดเมนเนมในปัจจุบันและหลังจากนั้นไม่นาน Domain Name System (DNS) ชุดแรกที่ถูกนำออกมาให้ทุกคนได้ใช้งานมีอยู่ด้วยกัน 5 แบบ โดยเราสามารถแยกความแตกต่างของโดเมนเนมได้จากตัวอักษรที่ต่อจากชื่อ เช่น www. « « « .com หรือ www. « « « .net หรือ www. « « « .org ระยะแรกนี้การจดโดเมนเนมจะทำได้โดยไม่ต้องเสียเงิน โดยมี IANA เป็นผู้ดูแล แต่ระยะหลังเมื่อทาง IANA และ NSF (National Science Foundation) ได้ร่วมกันจัดตั้ง InterNIC ขึ้นมา เริ่มมีการคิดค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนตามมา 100 USD ใน 2 ปีแรกของระยะแรกและลดลงมาเป็น 70 USD โดยมี ICANN หรือ Internet Corporation for Assigned Names and Numbers ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมา จากความร่วมมือของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหลายในการเป็นผู้คอยดูแลและจัดการเรื่องเกี่ยวกับโดเมนเนม การจัดการเรื่องของ IP Address การดูแลโปรโตรคอลและรวมไปถึงการจัดการเกี่ยวกับ Server System ด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ยุคแรกๆ ของโดเมนเนมน้นมีการกำหนดสกุลไม่มากนัก ต่อมาปัจจุบัน หลังจาที่มีการยึดครองโดเมนเนมหลักๆ ไปเป็นของ Internic.net อย่างเดียวแล้ว ก็เกิดการฟ้องร้องกันระหว่างรัฐกับบริษัท Netword Solution จำกัด ว่าใครจะได้เป็นเจ้าของโดเมนเนม ซึ่งผลได้ประกาศออกมากลางเดือนมีนาคม 2542 ว่า “ ให้บริษัทใดก็ได้สามารถบริหารชื่อเป็นของตัวเองได้”
ดังนั้นจึงทำให้เกิดโดเมนเนมใหม่ๆ ขึ้นมาหลังจากนั้นอีกมากมาย เช่น . shop ฯลฯ เป็นต้น และนอกจากนี้มีการจดทะเบียนโดเมนเนมไว้ทั้งหมดทั่วโลก ประมาณ 19 ล้าน ชื่อในอินเทอร์เน็ต หรือประมาณ 40,000 ชื่อในแต่ละวัน ทางบริษัท Netword Solution จำกัด ได้เปลี่ยนโฮมเพจของตัวเองไปที่โดเมนใหม่คือ http://www.networdsolution.com ด้วย
สำหรับในประเทศไทยนั้น ได้มีการจดโดเมนเนมไปยังองค์กรจดโดเมนโลกให้ .th ( Thailand) เป็นของประเทศไทย โดยมีการนำเงินไปวางเป็นมัดจำจำนวนหนึ่ง ซึ่งในตอนแรกให้ศูนย์คอมพิวเตอร์จุฬาลงกรณ์เป็นผู้ดูแล ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงให้ AIT หรือ Asian of Institute Technology เป็นผู้เข้ามาดูแลแทน
สรุปได้ว่า ในปัจจุบันในประเทศของเราได้จดทะเบียนกับสถาบันเอไอทีเริ่มเป็นผู้จดทะเบียนโดเมนเนม ( domain name) “.th” ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและรับหน้าที่ในการดูแลการจดทะเบียนโดเมนเนมสัญชาติไทยตลอดมา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ภายใต้ชื่อหน่วยงานว่า “ ไทยนิก” หรือทีเอชนิก (THNIC)
ในการจดโดเมนเนมสกุล .co.th นั้น มีข้อจำกัดเกี่ยวกับเรื่องของสิทธิ์โดยที่ผู้ขอจดนั้นต้องมีเอกสารหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทจากกระทรวงพานิชย์ (ภพ.20) มายื่นขอด้วย
แต่ในปัจจุบันเงื่อนไขดังกล่าวของการจดโดเมนเนม . co.th ถูกยกเลิกไป เมื่อมีการเริ่มคิดค่าใช้จ่ายสำหรับการขอจดโดเมนเนมใหม่สัญชาติไทย ชื่อละ 1,500 บาท ต่อปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 และคิดอัตราการต่ออายุโดเมนเนมประมาณ 800 บาทต่อปี
ในระยะแรก การใช้งานในอินเทอร์เน็ตไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรนัก เพราะเครื่องที่อยู่ในเครือข่ายมีไม่มาก แต่ต่อมาเมื่อมีคนสนใจและมีเครือข่ายการใช้งานที่กว้างมากขึ้น ก็เลยทำให้เกิดความต้องการในการใช้ชื่อที่ง่ายและไม่ซับซ้อน จำง่าย แทนที่จะใช้ในลักษณะของ IP Address ซึ่งเป็นชุดตัวเลขที่ใช้อยู่ซึ่งทำให้เกิดการศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องของ “Name Server” ขึ้นมาครั้งแรก ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องรู้จัก และนี่ก็คือต้นกำเนิดของการใช้โดเมนเนมในปัจจุบันและหลังจากนั้นไม่นาน Domain Name System (DNS) ชุดแรกที่ถูกนำออกมาให้ทุกคนได้ใช้งานมีอยู่ด้วยกัน 5 แบบ โดยเราสามารถแยกความแตกต่างของโดเมนเนมได้จากตัวอักษรที่ต่อจากชื่อ เช่น www. « « « .com หรือ www. « « « .net หรือ www. « « « .org ระยะแรกนี้การจดโดเมนเนมจะทำได้โดยไม่ต้องเสียเงิน โดยมี IANA เป็นผู้ดูแล แต่ระยะหลังเมื่อทาง IANA และ NSF (National Science Foundation) ได้ร่วมกันจัดตั้ง InterNIC ขึ้นมา เริ่มมีการคิดค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนตามมา 100 USD ใน 2 ปีแรกของระยะแรกและลดลงมาเป็น 70 USD โดยมี ICANN หรือ Internet Corporation for Assigned Names and Numbers ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมา จากความร่วมมือของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหลายในการเป็นผู้คอยดูแลและจัดการเรื่องเกี่ยวกับโดเมนเนม การจัดการเรื่องของ IP Address การดูแลโปรโตรคอลและรวมไปถึงการจัดการเกี่ยวกับ Server System ด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ยุคแรกๆ ของโดเมนเนมน้นมีการกำหนดสกุลไม่มากนัก ต่อมาปัจจุบัน หลังจาที่มีการยึดครองโดเมนเนมหลักๆ ไปเป็นของ Internic.net อย่างเดียวแล้ว ก็เกิดการฟ้องร้องกันระหว่างรัฐกับบริษัท Netword Solution จำกัด ว่าใครจะได้เป็นเจ้าของโดเมนเนม ซึ่งผลได้ประกาศออกมากลางเดือนมีนาคม 2542 ว่า “ ให้บริษัทใดก็ได้สามารถบริหารชื่อเป็นของตัวเองได้”
ดังนั้นจึงทำให้เกิดโดเมนเนมใหม่ๆ ขึ้นมาหลังจากนั้นอีกมากมาย เช่น . shop ฯลฯ เป็นต้น และนอกจากนี้มีการจดทะเบียนโดเมนเนมไว้ทั้งหมดทั่วโลก ประมาณ 19 ล้าน ชื่อในอินเทอร์เน็ต หรือประมาณ 40,000 ชื่อในแต่ละวัน ทางบริษัท Netword Solution จำกัด ได้เปลี่ยนโฮมเพจของตัวเองไปที่โดเมนใหม่คือ http://www.networdsolution.com ด้วย
สำหรับในประเทศไทยนั้น ได้มีการจดโดเมนเนมไปยังองค์กรจดโดเมนโลกให้ .th ( Thailand) เป็นของประเทศไทย โดยมีการนำเงินไปวางเป็นมัดจำจำนวนหนึ่ง ซึ่งในตอนแรกให้ศูนย์คอมพิวเตอร์จุฬาลงกรณ์เป็นผู้ดูแล ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงให้ AIT หรือ Asian of Institute Technology เป็นผู้เข้ามาดูแลแทน
สรุปได้ว่า ในปัจจุบันในประเทศของเราได้จดทะเบียนกับสถาบันเอไอทีเริ่มเป็นผู้จดทะเบียนโดเมนเนม ( domain name) “.th” ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและรับหน้าที่ในการดูแลการจดทะเบียนโดเมนเนมสัญชาติไทยตลอดมา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ภายใต้ชื่อหน่วยงานว่า “ ไทยนิก” หรือทีเอชนิก (THNIC)
ในการจดโดเมนเนมสกุล .co.th นั้น มีข้อจำกัดเกี่ยวกับเรื่องของสิทธิ์โดยที่ผู้ขอจดนั้นต้องมีเอกสารหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทจากกระทรวงพานิชย์ (ภพ.20) มายื่นขอด้วย
แต่ในปัจจุบันเงื่อนไขดังกล่าวของการจดโดเมนเนม . co.th ถูกยกเลิกไป เมื่อมีการเริ่มคิดค่าใช้จ่ายสำหรับการขอจดโดเมนเนมใหม่สัญชาติไทย ชื่อละ 1,500 บาท ต่อปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 และคิดอัตราการต่ออายุโดเมนเนมประมาณ 800 บาทต่อปี
ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต (TCP/IP )
การสื่อสารข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ หมายถึง การโอนถ่ายหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทาง กับคอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยในการโอนถ่ายหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้ จำเป็นที่จะต้องมีการอาศัยภาษากลางในการสื่อความหมายระหว่างกันเพื่อให้เกิดเป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้การสื่อสารระหว่างกันภายในเครือข่ายได้อย่างรวมแล้วและมีประสิทธิภาพ โดยทั่วๆ ไปแล้วเรียกว่า Protocol เป็นเช่นนี้จะเห็นได้ว่า Protocol นั้นหมายถึง มาตรฐานทางด้านภาษาสื่อสารในการที่จะควบคุมการรับส่งข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง สำหรับการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตนั้นได้ใช้ Protocol ที่มีชื่อว่า TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) เป็นโปรโตคอลมาตรฐานในการสื่อสารบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อันเกิดจากมาตรฐาน 2 แบบ คือ TCP มีหน้าที่ในการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนย่อยๆ ซึ่งเรียกว่า Packet ที่มีขนาดเล็กกว่า 1,500 ตัวอักษร และทำหน้าที่ประกอบข้อมูลที่แบ่งย่อยออกมาเหล่านี้ในฝั่งของปลายทางที่รับข้อมูล ส่วน IPนั้นทำหน้าที่ในการกำหนดเส้นทางของการสื่อสารจากต้นทางไปยังปลายทาง
หลักการทำงานของ TCP/IP
หลักการทำงานของ TCP/IP มีขั้นตอนการทำงานดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 TCP ทำหน้าที่ในการที่แตกข้อมูลที่ต้องการออกเป็นส่วนๆ โดยแต่ละส่วนย่อยนี้เรียกว่า Packet โดยแต่ละ Packet จะมีส่วนหัวเรียกว่า Header ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูล เกี่ยวกับลำดับของแพ็กเก็ตซึ่งจะถูกนำมาใช้เพื่อประกอบข้อมูลกลับมายังฝั่งของผู้รับ
ขั้นตอนที่ 2 Packet แต่ละ Packet จะถูกนำส่งไปแต่ละ IP ซึ่ง Packet แต่ละ Packet จะมี IP เป็นของตนเอง ภายใน IP แต่ละตัวจะถูกกำหนดที่อยู่ปลายทางของผู้รับ และผู้ส่ง โดยจะมีการกำหนดช่วงเวลาและอายุของ Packet
ขั้นตอนที่ 3 Packet ถูกส่งออกไปบนระบบอินเทอร์เน็ตผ่านเร้าเตอร์ (Router) ซึ่ง IP จะถูกตรวจสอบที่อยู่ปลายทางเมื่อเร้าเตอร์แต่ละตัว หลังจากนั้นเร้าเตอร์จะทำหน้าที่หาช่องทางในการส่งข้อมูลที่ดีที่สุดให้กับ Packet เพื่อนำข้อมูลไปสู่ปลายทาง เพราะฉะนั้น Packet แต่ละตัวจะเดินทางไปถึงปลายทางไม่พร้อมกัน โดยเรียงตามลำดับของ Packet
ขั้นตอนที่ 4 เมื่อ Packet เดินทางไปถึงปลายทางเรียบร้อยแล้ว TCP จะทำหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูลภายใน Packet อีกครั้ง ว่าครบถ้วนและถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ครบหรือไม่ถูกต้องจะทำการทิ้ง Packet นั้นไปแล้วเรียกกลับไปต้นทางใหม่อีกครั้ง
ขั้นตอนที่ 5 เมื่อปลายทางนั้นได้รับ Packet ที่ถูกต้องครบทั้งหมดแล้ว TCP จะทำหน้าที่ประกอบข้อมูลให้พร้อมที่จะใช้งานต่อไป
ในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตนั้น ต้องอาศัยการส่งสัญญาณทั้งในระบบสายสัญญาณ ( Lease Line) และระบบสายโทรศัพท์ เพื่อให้การสื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องทำการเพิ่มเติม Protocol ที่ชื่อว่า SLIP (Serial Line Internet Protocol) และ PPP (Point – to – Point Protocol)
ขั้นตอนที่ 1 TCP ทำหน้าที่ในการที่แตกข้อมูลที่ต้องการออกเป็นส่วนๆ โดยแต่ละส่วนย่อยนี้เรียกว่า Packet โดยแต่ละ Packet จะมีส่วนหัวเรียกว่า Header ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูล เกี่ยวกับลำดับของแพ็กเก็ตซึ่งจะถูกนำมาใช้เพื่อประกอบข้อมูลกลับมายังฝั่งของผู้รับ
ขั้นตอนที่ 2 Packet แต่ละ Packet จะถูกนำส่งไปแต่ละ IP ซึ่ง Packet แต่ละ Packet จะมี IP เป็นของตนเอง ภายใน IP แต่ละตัวจะถูกกำหนดที่อยู่ปลายทางของผู้รับ และผู้ส่ง โดยจะมีการกำหนดช่วงเวลาและอายุของ Packet
ขั้นตอนที่ 3 Packet ถูกส่งออกไปบนระบบอินเทอร์เน็ตผ่านเร้าเตอร์ (Router) ซึ่ง IP จะถูกตรวจสอบที่อยู่ปลายทางเมื่อเร้าเตอร์แต่ละตัว หลังจากนั้นเร้าเตอร์จะทำหน้าที่หาช่องทางในการส่งข้อมูลที่ดีที่สุดให้กับ Packet เพื่อนำข้อมูลไปสู่ปลายทาง เพราะฉะนั้น Packet แต่ละตัวจะเดินทางไปถึงปลายทางไม่พร้อมกัน โดยเรียงตามลำดับของ Packet
ขั้นตอนที่ 4 เมื่อ Packet เดินทางไปถึงปลายทางเรียบร้อยแล้ว TCP จะทำหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูลภายใน Packet อีกครั้ง ว่าครบถ้วนและถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ครบหรือไม่ถูกต้องจะทำการทิ้ง Packet นั้นไปแล้วเรียกกลับไปต้นทางใหม่อีกครั้ง
ขั้นตอนที่ 5 เมื่อปลายทางนั้นได้รับ Packet ที่ถูกต้องครบทั้งหมดแล้ว TCP จะทำหน้าที่ประกอบข้อมูลให้พร้อมที่จะใช้งานต่อไป
ในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตนั้น ต้องอาศัยการส่งสัญญาณทั้งในระบบสายสัญญาณ ( Lease Line) และระบบสายโทรศัพท์ เพื่อให้การสื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องทำการเพิ่มเติม Protocol ที่ชื่อว่า SLIP (Serial Line Internet Protocol) และ PPP (Point – to – Point Protocol)
กฎหมายเกี่ยวกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีความสำคัญต่อการติดต่อสื่อสารทั้งในส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจหรือรวมทั้งการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันทุกองค์การต้องมีการศึกษาค้นคว้าข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ดังนั้นต้องมีการควบคุมดูแลผลประโยชน์ของผู้ที่นำข้อมูลมานำเสนอผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูล จากการประชุมคณะรัฐมนตรี ทางคณะรัฐมนตรีได้มีนโยบายทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ ( National Information Technology Committee : NITC ) เป็นผู้รับผิดชอบกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ ( Information Technology Law ) จำเป็นต้องมีการตรากฎหมายขึ้นบังคับทั้งหมด 6 ฉบับ ได้แก่
1. กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
2. กฎหมายเกี่ยวกับลายมือทางอิเล็กทรอนิกส์
3. กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
4. กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
5. กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
6. กฎหมายลำดับรองของรัฐธรรมนูญ มาตรา 78
1. กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
2. กฎหมายเกี่ยวกับลายมือทางอิเล็กทรอนิกส์
3. กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
4. กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
5. กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
6. กฎหมายลำดับรองของรัฐธรรมนูญ มาตรา 78
ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
การกระทำการใดๆที่มีกฎหมายให้รับรองลิขสิทธิ์ ถ้าเป็นงานที่ไม่ได้รับความคุ้มครองหรือสิ้นอายุการควบคุมตามกฎหมายแล้ว การกระทำต่องานนั้นย่อมไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เพราะไม่ได้ไปจดลิขสิทธิ์ นอกจากนี้ยังมี
1 ) งานอันไม่อาจมีลิขสิทธิ์
2 ) ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
1. งานอันไม่อาจมีลิขสิทธิ์
งานที่อาจมีลิขสิทธิ์ มีดังนี้ คือ
1 ) ข่าวประจำวันและข้อเท็จจริงต่างที่มีลักษณะข่าวสาร ซึ่งไม่ใช่งานวรรณคดีหรือวิทยาศาสตร์หรือศิลปะ
2 ) รัฐธรรมนูญ กฎหมาย
3 ) ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือตอบโต้ของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือท้องถิ่น
4 ) คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของราชการ
5 ) คำแปล และการรวบรวมสิ่งต่างๆ ตาม 1) – 4 ) ที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่นจัดทำขึ้น
2. การกระทำที่ถือเป็นข้อยกเว้นของการละเมิดลิขสิทธิ์
การกระทำกับงานอันมีลิขสิทธิ์ หากไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีสิขสิทธิ์ของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินควร ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ หรือการกระทำต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ มีดังนี้
1 ) กระทำการเพื่อประโยชน์ในการศึกษามิใช่หากำไร
2 ) กระทำการเพื่อใช้งานส่วนตัว
3 ) กระทำการเพื่อประโยชน์ของทางราชการ
4 ) กระทำการโดยรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของผู้อื่น เช่น คัดลอกเลียน หรืออ้างอิงงานบางตอนตามสมควร จากงานอันมีลิขสิทธิ์ โดยการแสดงการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของผู้อื่น ย่อมไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
1 ) งานอันไม่อาจมีลิขสิทธิ์
2 ) ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
1. งานอันไม่อาจมีลิขสิทธิ์
งานที่อาจมีลิขสิทธิ์ มีดังนี้ คือ
1 ) ข่าวประจำวันและข้อเท็จจริงต่างที่มีลักษณะข่าวสาร ซึ่งไม่ใช่งานวรรณคดีหรือวิทยาศาสตร์หรือศิลปะ
2 ) รัฐธรรมนูญ กฎหมาย
3 ) ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือตอบโต้ของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือท้องถิ่น
4 ) คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของราชการ
5 ) คำแปล และการรวบรวมสิ่งต่างๆ ตาม 1) – 4 ) ที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่นจัดทำขึ้น
2. การกระทำที่ถือเป็นข้อยกเว้นของการละเมิดลิขสิทธิ์
การกระทำกับงานอันมีลิขสิทธิ์ หากไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีสิขสิทธิ์ของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินควร ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ หรือการกระทำต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ มีดังนี้
1 ) กระทำการเพื่อประโยชน์ในการศึกษามิใช่หากำไร
2 ) กระทำการเพื่อใช้งานส่วนตัว
3 ) กระทำการเพื่อประโยชน์ของทางราชการ
4 ) กระทำการโดยรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของผู้อื่น เช่น คัดลอกเลียน หรืออ้างอิงงานบางตอนตามสมควร จากงานอันมีลิขสิทธิ์ โดยการแสดงการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของผู้อื่น ย่อมไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
ความปลอดภัยของข้อมูลบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
1. การให้ความรู้เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลแก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์
การใช้งานระบบเครือขายผู้ใช้ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย พร้อมทั้งการดูแลความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งาน รวมทั้งให้ผู้ใช้งานคำนึงถึงความสำคัญของข้อมูลสามารถป้องกันข้อมูลเบื้องต้นได้ วิธีการป้องกันข้อมูลในขั้นต้นที่พนักงานทุกคนควรทราบได้แก่
1 ) การเก็บรหัสผ่านเป็นความลับ ไม่บอกให้ผู้อื่นทราบ หรือจดไว้ในที่เปิดเผย
2 ) ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นใช้เครื่องที่ตนใช้ประจำ ตั้งระบบรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ต่างๆการใช้รหัสผ่านในการทำงาน
3 ) ขยันเปลี่ยนรหัสผ่านของตนเองบ่อยๆเพื่อป้องกันผู้อื่นจดจำรหัสผ่านในขณะที่พิมพ์รหัส
4 ) การสังเกตอาการแปลกๆที่เกิดขึ้นซึ่งอาจเป็นสัญญาณของไวรัส เช่น การทำงานช้าลงของเครื่องคอมพิวเตอร์ การมีข้อความแปลกๆเกิดขึ้น การทำงานไม่เป็นปกติ
5 ) ให้ความรู้เกี่ยวกับการกู้ข้อมูลคืน หากข้อมูลมีความเสียหายเกิดขึ้น
6 ) มีการปรับปรุงโปรแกรมที่ใช้ตรวจสอบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ เช่นโปรแกรมตรวจไวรัส โปรแกรมตรวจสอบผู้เข้าใช้ระบบ เป็นต้น
2. การรักษาควาปลอดภัยของผู้ดูแลระบบ
ผู้ดูแลระบบควรมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันเป็นอย่างดีเนื่องจากเป็นบุคคลที่สำคัญในการป้องกันความปลอดภัย ข้อควรระวังเบื้องต้นของผู้ดูแลระบบ ได้แก่
1. ต้องมีความรู้เกี่ยวกับลำดับความสำคัญของผู้ใช้ระบบ เพื่อที่จะกำหนดสิทธิ์ของการเข้าใช้งานได้
2. ไม่สมควนให้มีการอนุญาตผู้ใช้มากเกินไปอาจจะเป็นเหตุของเจาะระบบได้
3. การยกเลิกสิทธิ์ของผู้เข้าใช้ ควรทำการลบล้างสิทธิ์ออกจากโปรแกรมตรวจสอบเพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นขโมยสิทธิ์เข้าใช้ระบบ
3. การกำหนดสิทธิ์ของการเข้าใช้ระบบ
การกำหนดสิทธิ์ของการเข้าใช้งานระบบ เราสามารถกำหนดสิทธิ์ของบุคคลในแต่ละระดับเพื่อเข้าใช้งานระบบ โดยมีการกำหนดสิทธิ์ในการเข้าใช้งานดังนี้
1 ) รหัสผ่าน ( Password ) หมายถึง การกำหนดรหัสผ่านอาจจะอยู่ในรูปตัวเลขหรือตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ ที่ต้องพิมพ์เพื่อให้ระบบตรวจสอบว่าเหมือนกับค่าที่เคยตั้งไว้หรือไม่ว่า
- ควรมีจำนวนหลักของข้อความไม่ต่ำกว่า 8 ตัว หากโปรแกรมหรือระบบนั้นสามารถรองรับได้
- ควรมีทั้งตัวอักษรและตัวเลข
- ไม่ควรเป็นคำ หรือข้อความใดข้อความหนึ่งหรือชื่อคน สัตว์เลี้ยง หรือสิ่งของที่ใกล้ตัว ควรเป็นข้อความที่ไม่มีความหมาย
- ไม่ควรใช้ฟังก์ชันช่วยจำ User name และ Password ของเว็บไซต์หรือโปรแกรมใดๆเพราะอาจเป็นสาเหตุให้ถูกขโมยได้ง่าย
2 ) วัตถุในการตรวจสอบ ( Possessed Objects ) คือ สิ่งของที่ผู้ใช้สามารถพกพาติดตัวไปเพื่อใช้ในการตรวจสอบ เช่น บัตรผ่าน อาจใช้ร่วมกับรหัสผ่านได้
3 ) การตรวจสอบทางชีวภาพ ( Biometric Device ) คือ การตรวจสอบลักษณะทางชีวภาพว่าตรงกับลักษณะทางชีวภาพที่บันทึกไว้หรือไม่ เช่นม่านตา เป็นต้น
4. การตรวจสอบการเข้าใช้ด้วยระบบฮาร์แวร์
โดยป้องกันการเข้ามาในระบบผ่านช่องหรือ Port ต่างๆ ได้แก่ Fire Wall ซึ่งก็คือ เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบหรือปิดกั้นกันการเชื่อมต่อของข้อมูลจากภายนอกเครือข่ายกับภายในเครือข่าย ซึ่งจะอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น ซึ่งในการรักษาความปลอดภัยสูง Firewall มี 3 ชนิดคือ
1 ) Screening Routers คือ อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบข้อมูลนั้นถูกส่งมาจากที่ใด และได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องหรือไม่ การตรวจสอบนั้นสามารถทำได้โดยการดู Address ที่มีมากับข้อมูล
2 ) Proxy Gateway คือ ตรวจสอบข้อมูลทั้ง Address และตัวข้อมูล ( Data ) ซึ่งให้ความปลอดภัยสูงกว่า Screening Routers โดยจะอนุญาตให้ข้อมูลหรือชุดคำสั่งที่ได้รับจากระบบเครือข่ายสามารถทำงานได้ตามที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
3 ) Guard คือ Proxy Firewall ซึ่งมีความสามารถในการักษาความปลอดภัยสูง ทำหน้าที่วิเคราะห์ Protocol ที่ผ่านเข้ามาหรือออกจากเครือข่าย แล้วสั่งงานตามที่ Protocol ตัวนั้นต้องการ
5. การใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
โปรแกรมป้องกันไวรัสเป็นตัวค้นหาและกำจัดไวรัสออกจากหน่วยความจำและอุปกรณ์เก็บข้อมูล การทำงานของโปรแกรมป้องกันไวรัสคือ
1 ) การค้นหาสัญญาณของไวรัสเพื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลที่จัดเก็บไว้ ซึ่งผู้ใช้จึงจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงโปรแกรมให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพราะมีไวรัสใหม่เกิดขึ้นทุกวัน โปรแกรมป้องกันไวรัสประเภทนี้จะค้นหาไวรัสประเภท Polymorphic virus ได้ยาก เพราะไวรัสประเภทนี้สามารถเปลี่ยนรูปแบบของตนเองไปตามโปรแกรมหรือแฟ้มข้อมูล
2 ) การตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแฟ้มข้อมูล โปรแกรมจะทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลของแฟ้ม เช่น ขนาดของแฟ้มข้อมูล วันที่แฟ้มข้อมูลถูกสร้างหรือแก้ไข จากนั้นจะใช้ข้อมูลนี้ในการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของแฟ้มข้อมูลในการเปิดใช้ครั้งต่อไป หากมีการเปลี่ยนแปลงแจหมายถึงสัญญาณไวรัส แต่จะมีไวรัสบางชนิดที่เรียกว่า Stealth virus สามารถที่จะรายงานขนาดและวันเวลาเดิมของไฟล์เพื่อหลบเลี่ยงการถูกตรวจในจับได้
3 ) การแยกแฟ้มข้อมูลที่ต้องสงสัยไว้ต่างหาก โปรแกรมค้นหาไวรัสบางประเภทสามารถแยกแฟ้มข้อมูลที่สงสัยว่าติดไวรัสไวต่างหากเพื่อป้องกันการแพร่ของไวรัสได้ เมื่อผู้ใช้ทำการตรวจสอบหรือกำจัดไวรัสออกไปแล้วจะสามารถใช้แฟ้มข้อมูลเหล่านั้นได้อีกครั้ง
4 ) การสร้าง Rescue Disk หรือแผ่นดิสก์ที่สะอาดปลอดภัย ในการทำงานควรมีการสร้างแผ่นดิสก์ที่ปลอดภัยจากไวรัสประเภท Boot Sector virus และสามารถค้นหา ซ่อมแซม แฟ้มข้อมูลที่เสียหายจากไวรัสได้
6. การตรวจสอบความถูกต้องของระบบเครือข่าย
เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยระบบต่างๆเช่น
1 Kerboros เป็นระบบที่ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องในการเชื่อมต่อกันของระบบเครือข่าย โดยการตรวจสอบความถูกต้องระหว่าง Processor ที่ทำการติดต่อสื่อสารระหว่างหันโดยมีระบบบัตรผ่าน ซึ่งมีอายุเป็นกำหนดเวลาที่แน่นอน การส่งข้อมูลจะส่งในรูปแบบของการเข้ารหัส
2. DCE เป็นระบบที่ใช้การพัฒนามาจาก Kerboros จึงง่ายต่อการบริหารและจัดการระบบมากกว่า มีการใช้ระบบบัตรผ่านและการเข้ารหัสข้อมูลเช่นเดียวกัน
การใช้งานระบบเครือขายผู้ใช้ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย พร้อมทั้งการดูแลความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งาน รวมทั้งให้ผู้ใช้งานคำนึงถึงความสำคัญของข้อมูลสามารถป้องกันข้อมูลเบื้องต้นได้ วิธีการป้องกันข้อมูลในขั้นต้นที่พนักงานทุกคนควรทราบได้แก่
1 ) การเก็บรหัสผ่านเป็นความลับ ไม่บอกให้ผู้อื่นทราบ หรือจดไว้ในที่เปิดเผย
2 ) ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นใช้เครื่องที่ตนใช้ประจำ ตั้งระบบรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ต่างๆการใช้รหัสผ่านในการทำงาน
3 ) ขยันเปลี่ยนรหัสผ่านของตนเองบ่อยๆเพื่อป้องกันผู้อื่นจดจำรหัสผ่านในขณะที่พิมพ์รหัส
4 ) การสังเกตอาการแปลกๆที่เกิดขึ้นซึ่งอาจเป็นสัญญาณของไวรัส เช่น การทำงานช้าลงของเครื่องคอมพิวเตอร์ การมีข้อความแปลกๆเกิดขึ้น การทำงานไม่เป็นปกติ
5 ) ให้ความรู้เกี่ยวกับการกู้ข้อมูลคืน หากข้อมูลมีความเสียหายเกิดขึ้น
6 ) มีการปรับปรุงโปรแกรมที่ใช้ตรวจสอบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ เช่นโปรแกรมตรวจไวรัส โปรแกรมตรวจสอบผู้เข้าใช้ระบบ เป็นต้น
2. การรักษาควาปลอดภัยของผู้ดูแลระบบ
ผู้ดูแลระบบควรมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันเป็นอย่างดีเนื่องจากเป็นบุคคลที่สำคัญในการป้องกันความปลอดภัย ข้อควรระวังเบื้องต้นของผู้ดูแลระบบ ได้แก่
1. ต้องมีความรู้เกี่ยวกับลำดับความสำคัญของผู้ใช้ระบบ เพื่อที่จะกำหนดสิทธิ์ของการเข้าใช้งานได้
2. ไม่สมควนให้มีการอนุญาตผู้ใช้มากเกินไปอาจจะเป็นเหตุของเจาะระบบได้
3. การยกเลิกสิทธิ์ของผู้เข้าใช้ ควรทำการลบล้างสิทธิ์ออกจากโปรแกรมตรวจสอบเพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นขโมยสิทธิ์เข้าใช้ระบบ
3. การกำหนดสิทธิ์ของการเข้าใช้ระบบ
การกำหนดสิทธิ์ของการเข้าใช้งานระบบ เราสามารถกำหนดสิทธิ์ของบุคคลในแต่ละระดับเพื่อเข้าใช้งานระบบ โดยมีการกำหนดสิทธิ์ในการเข้าใช้งานดังนี้
1 ) รหัสผ่าน ( Password ) หมายถึง การกำหนดรหัสผ่านอาจจะอยู่ในรูปตัวเลขหรือตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ ที่ต้องพิมพ์เพื่อให้ระบบตรวจสอบว่าเหมือนกับค่าที่เคยตั้งไว้หรือไม่ว่า
- ควรมีจำนวนหลักของข้อความไม่ต่ำกว่า 8 ตัว หากโปรแกรมหรือระบบนั้นสามารถรองรับได้
- ควรมีทั้งตัวอักษรและตัวเลข
- ไม่ควรเป็นคำ หรือข้อความใดข้อความหนึ่งหรือชื่อคน สัตว์เลี้ยง หรือสิ่งของที่ใกล้ตัว ควรเป็นข้อความที่ไม่มีความหมาย
- ไม่ควรใช้ฟังก์ชันช่วยจำ User name และ Password ของเว็บไซต์หรือโปรแกรมใดๆเพราะอาจเป็นสาเหตุให้ถูกขโมยได้ง่าย
2 ) วัตถุในการตรวจสอบ ( Possessed Objects ) คือ สิ่งของที่ผู้ใช้สามารถพกพาติดตัวไปเพื่อใช้ในการตรวจสอบ เช่น บัตรผ่าน อาจใช้ร่วมกับรหัสผ่านได้
3 ) การตรวจสอบทางชีวภาพ ( Biometric Device ) คือ การตรวจสอบลักษณะทางชีวภาพว่าตรงกับลักษณะทางชีวภาพที่บันทึกไว้หรือไม่ เช่นม่านตา เป็นต้น
4. การตรวจสอบการเข้าใช้ด้วยระบบฮาร์แวร์
โดยป้องกันการเข้ามาในระบบผ่านช่องหรือ Port ต่างๆ ได้แก่ Fire Wall ซึ่งก็คือ เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบหรือปิดกั้นกันการเชื่อมต่อของข้อมูลจากภายนอกเครือข่ายกับภายในเครือข่าย ซึ่งจะอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น ซึ่งในการรักษาความปลอดภัยสูง Firewall มี 3 ชนิดคือ
1 ) Screening Routers คือ อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบข้อมูลนั้นถูกส่งมาจากที่ใด และได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องหรือไม่ การตรวจสอบนั้นสามารถทำได้โดยการดู Address ที่มีมากับข้อมูล
2 ) Proxy Gateway คือ ตรวจสอบข้อมูลทั้ง Address และตัวข้อมูล ( Data ) ซึ่งให้ความปลอดภัยสูงกว่า Screening Routers โดยจะอนุญาตให้ข้อมูลหรือชุดคำสั่งที่ได้รับจากระบบเครือข่ายสามารถทำงานได้ตามที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
3 ) Guard คือ Proxy Firewall ซึ่งมีความสามารถในการักษาความปลอดภัยสูง ทำหน้าที่วิเคราะห์ Protocol ที่ผ่านเข้ามาหรือออกจากเครือข่าย แล้วสั่งงานตามที่ Protocol ตัวนั้นต้องการ
5. การใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
โปรแกรมป้องกันไวรัสเป็นตัวค้นหาและกำจัดไวรัสออกจากหน่วยความจำและอุปกรณ์เก็บข้อมูล การทำงานของโปรแกรมป้องกันไวรัสคือ
1 ) การค้นหาสัญญาณของไวรัสเพื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลที่จัดเก็บไว้ ซึ่งผู้ใช้จึงจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงโปรแกรมให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพราะมีไวรัสใหม่เกิดขึ้นทุกวัน โปรแกรมป้องกันไวรัสประเภทนี้จะค้นหาไวรัสประเภท Polymorphic virus ได้ยาก เพราะไวรัสประเภทนี้สามารถเปลี่ยนรูปแบบของตนเองไปตามโปรแกรมหรือแฟ้มข้อมูล
2 ) การตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแฟ้มข้อมูล โปรแกรมจะทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลของแฟ้ม เช่น ขนาดของแฟ้มข้อมูล วันที่แฟ้มข้อมูลถูกสร้างหรือแก้ไข จากนั้นจะใช้ข้อมูลนี้ในการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของแฟ้มข้อมูลในการเปิดใช้ครั้งต่อไป หากมีการเปลี่ยนแปลงแจหมายถึงสัญญาณไวรัส แต่จะมีไวรัสบางชนิดที่เรียกว่า Stealth virus สามารถที่จะรายงานขนาดและวันเวลาเดิมของไฟล์เพื่อหลบเลี่ยงการถูกตรวจในจับได้
3 ) การแยกแฟ้มข้อมูลที่ต้องสงสัยไว้ต่างหาก โปรแกรมค้นหาไวรัสบางประเภทสามารถแยกแฟ้มข้อมูลที่สงสัยว่าติดไวรัสไวต่างหากเพื่อป้องกันการแพร่ของไวรัสได้ เมื่อผู้ใช้ทำการตรวจสอบหรือกำจัดไวรัสออกไปแล้วจะสามารถใช้แฟ้มข้อมูลเหล่านั้นได้อีกครั้ง
4 ) การสร้าง Rescue Disk หรือแผ่นดิสก์ที่สะอาดปลอดภัย ในการทำงานควรมีการสร้างแผ่นดิสก์ที่ปลอดภัยจากไวรัสประเภท Boot Sector virus และสามารถค้นหา ซ่อมแซม แฟ้มข้อมูลที่เสียหายจากไวรัสได้
6. การตรวจสอบความถูกต้องของระบบเครือข่าย
เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยระบบต่างๆเช่น
1 Kerboros เป็นระบบที่ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องในการเชื่อมต่อกันของระบบเครือข่าย โดยการตรวจสอบความถูกต้องระหว่าง Processor ที่ทำการติดต่อสื่อสารระหว่างหันโดยมีระบบบัตรผ่าน ซึ่งมีอายุเป็นกำหนดเวลาที่แน่นอน การส่งข้อมูลจะส่งในรูปแบบของการเข้ารหัส
2. DCE เป็นระบบที่ใช้การพัฒนามาจาก Kerboros จึงง่ายต่อการบริหารและจัดการระบบมากกว่า มีการใช้ระบบบัตรผ่านและการเข้ารหัสข้อมูลเช่นเดียวกัน
รูปแบบของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
1. Data Didding
2. Trojan Horse
3. Salami Techniques
4. Superzapping
5. Trap Dorrs
6. Logic Bombs
7. Asynchronous
8. Scavenging
9. Data Leakage
10. Piggybackcking
2. Trojan Horse
3. Salami Techniques
4. Superzapping
5. Trap Dorrs
6. Logic Bombs
7. Asynchronous
8. Scavenging
9. Data Leakage
10. Piggybackcking
กลุ่มอาชญากรทางคอมพิวเตอร์
การกระทำในลักษณะของอาชญากรทางคอมพิวเตอร์แบ่งได้ 4 ประเภท คือ
1. พวกมือใหม่ ( Novices ) หรือมือสมัครเล่น อยากทดลองความรู้และส่วนใหญ่จะมิใช่ผู้ที่เป็นอาชญากรโดยนิสัย คือ มิได้ดำรงชีพโดยการกระทำความผิด
2. นักเจาะข้อมูล ( Hacker ) ผู้ที่ชอบเจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น พยายามหาความท้าทายทางเทคโนโลยี เข้าไปในเครือข่ายของผู้อื่นโดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
3. อาชญากรในรูปแบบเดิมที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ เช่น พวกที่พยามสั่งของที่ทำด้วยเทคโนโลยี เช่นบัตรเครดิต , บัตรเอทีเอ็ม เป็นต้น
4. อาชญากรมืออาชีพ คือ ผู้ที่ดำรงชีพด้วยการกระทำความผิด เช่น พวกที่ใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีฉ้อโกงสถาบันการเงินหรือการจารกรรมข้อมูลไปจำหน่าย เป็นต้น
1. พวกมือใหม่ ( Novices ) หรือมือสมัครเล่น อยากทดลองความรู้และส่วนใหญ่จะมิใช่ผู้ที่เป็นอาชญากรโดยนิสัย คือ มิได้ดำรงชีพโดยการกระทำความผิด
2. นักเจาะข้อมูล ( Hacker ) ผู้ที่ชอบเจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น พยายามหาความท้าทายทางเทคโนโลยี เข้าไปในเครือข่ายของผู้อื่นโดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
3. อาชญากรในรูปแบบเดิมที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ เช่น พวกที่พยามสั่งของที่ทำด้วยเทคโนโลยี เช่นบัตรเครดิต , บัตรเอทีเอ็ม เป็นต้น
4. อาชญากรมืออาชีพ คือ ผู้ที่ดำรงชีพด้วยการกระทำความผิด เช่น พวกที่ใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีฉ้อโกงสถาบันการเงินหรือการจารกรรมข้อมูลไปจำหน่าย เป็นต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)